ก่อนทิ้งคิดสักนิด
เพราะสิ่งที่เราทิ้งไปโดยไม่คิดอะไรอาจเกิดอันตรายกับคนอื่น ๆ ต่อได้
ถ้าเกิดคุณทิ้งใบมีดคัตเตอร์ลงในถังขยะที่บ้าน แล้วเผอิญมีลูกเล็ก ๆ มาคุ้ยเขี่ย
อาจบาดมือลูกแล้วทำให้คุณเห็นความสำคัญของการทิ้งขยะอันตราย
แต่ถ้าที่บ้านคุณไม่มีเด็กเล็ก
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ บทความ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ บทความ แสดงบทความทั้งหมด
สีฟ้า/น้ำเงิน ทำให้ความอยากอาหารลดลง
นักจิตวิทยาบอกว่าสีฟ้า/น้ำเงิน ทำให้ความอยากอาหารลดลง
ญี่ปุ่นจึงมีอาหารสีฟ้าสำหรับผู้ต้องการลดน้ำหนัก
แบบนี้คนลดน้ำหนักต้องหามากินกันแล้วนะครับ
สีแดงจริง ๆ ทำให้คนกินอาหารน้อยลงมากกว่าสีน้ำเงิน
เคยมีคนทำวิจัยเอาเพรสเทลไปวางให้คนกิน
ปรากฎว่าคนกินจากจานสีแดงน้อยกว่าจากจานสีน้ำเงิน
อ้างอิงงานวิจัย http://www.sciencedirect.com/science/article/pii/S0195666311006957
ความ contrast ของอาหารกับจาน ก็ส่งผลนะครับอ่านเจอจากพันทิปมา
http://foodpsychology.cornell.edu/outreach/color_plate.html
http://foodpsychology.cornell.edu/outreach/color_plate.html
สีสำหรับการตกแต่งภายในที่ทำให้คนอยากอาหารมากสุด คือสีส้ม ร้านไหนทาสีส้ม สำหรับคนลดน้ำหนักคิดก่อนเข้านะไม่งั้นอาจกินเยอะกว่าเดิมก็ได้ครับ
ขอบคุณภาพจาก ดาราเดรี่
อยากให้ทุกคนได้ดู คลิปนี้ "เพราะความฝันไม่มีวันพิการ"
ได้มีโอกาสนั่งดูคลิปนี้ผ่านการแชร์มาทาง Facebook เพื่อน อยากให้ทุก ๆ คนได้ดูเช่นกันนะครับ วิดิโอทำให้เราเห็นความเป็นจริงของสังคมและยังเสริมสร้างกำลังใจดี ๆ ให้เราได้อีกด้่วยนะครับ
เปิดโอกาสให้น้องผู้พิการสร้าง “ความฝัน” ที่ไม่มีข้อจำกัด เพราะเรารู้ว่าหากฉีกคำว่า “คน” ออกจากคำว่า “พิการ” แล้วนั้น คนทุก
คนก็มีความฝันเหมือนกัน ร่วมเปลี่ยนแปลงความฝันของน้อง ๆ เพราะ “ความฝันไม่มีวันพิการ” แค่ดูหนังสั้นเรื่องนี้ 1 วิว = 1 บาท ช่วยเพิ่มโอกาสการศึกษาและอาชีพเพื่อเด็กพ
Open doors to children with disabilities to follow their infinite “dream”. Break away the term “people” from “disabled” and see that all people have dreams to pursue. Together, we can change and give them chance to chase their “Unlimited Dreams” as easy as watching and sharing this short film. 1 view = 1 Baht, Vejdusit Foundation will donate to support education and career opportunities for children with disabilities till 31 October 2015
เรากำลังสิ่งค้นหาความสุขอยู่หรือไม่
ในงานสัมมนาแห่งหนึ่ง ผู้เข้าร่วมสัมมนาได้รับลูก
..................
ภายใน 5 นาที ห้องนั้นก็เหมือนเกิดจลาจล ทุกคนต่างรีบหาลูกโป่งของตั
...................
พิธีกรประกาศให้หยุด แล้วเริ่มกระบวนการใหม่อีกค
....................
พิธีกรสรุปให้ฟังว่า สังคมของเราเป็นอย่างนี้ ทุกคนต่างมุ่งหาความสุข (ลูกโป่ง) ของตัวเอง โดยไม่สนใจคนอื่น ไม่เอื้ออาทร ไม่แคร์แม้ต้องเหยียบย่ำควา
"Once a group of 50 people was attending a seminar."
Suddenly the speaker stopped and decided to do a group activity. He started giving each one a balloon. Each one was asked to write his/her name on it using a marker pen. Then all the balloons were collected and put in another room.
Now these delegates were let in that room and asked to find the balloon which had their name written, within 5 minutes. Everyone was frantically searching for their name, colliding with each other, pushing around others and there was utter chaos.
At the end of 5 minutes no one could find their own balloon.
Now each one was asked to randomly collect a balloon and give it to the person whose name was written on it.
Within minutes everyone had their own balloon.
The speaker began— exactly this is happening in our lives. Everyone is frantically looking for happiness all around, not knowing where it is.
Our happiness lies in the happiness of other people. Give them their happiness; you will get your own happiness.
And this is the purpose of human life.
(ที่มา : http://www.viralnova.com/
คนเราอายุเฉลี่ย 60 ปี 1 ปี เท่ากับ 365 วัน โดย น้าเน๊ก
หลายคนคงเคยได้อ่าน ชอบบทความนี้มากเลยมาแปะบล๊อก
ขอบคุณ น้าเน๊ก ...... เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาละกะวงศ์ ณ อยุธยา ด้วยนะคับ
คนเราอายุเฉลี่ย 60 ปี 1 ปี เท่ากับ 365 วัน แสดงว่าแต่ละคนมีเวลาบนพื้นโลก 21,900 วัน คิดปลีกย่อยไปกว่านั้นก็ 525,600 นาที ลองนับเป็นสัปดาห์ อืม......... ไม่เลว 3,120 สัปดาห์
อุแม่เจ้า......... แสดงว่า เรามีโอกาสเที่ยวในคืนวันเสาร์สามพันกว่าครั้งเท่านั้นเอง
คิด แบบนี้แล้วไม่กล้าดูนาฬิกา แทบเบือนหน้าหนีจากปฏิทิน เพราะมันไม่ต่างอะไรกับการนับถอยหลังเพื่อรอวันลาโลก....
เปล่าเลยผมไม่ ได้กลัวตาย และขอโทษที่หากเรื่องอาจไม่ค่อยขำ แต่ตลอดเวลาที่ใช้เวลาอยู่บนโลกนี้มันน้อยมากหากคำนวนในเชิงตัวเลข
ยังมีหนังสืออีกหลายเล่มที่ยังไม่ได้อ่าน
เพลงอีกหลายเพลงยังไม่ได้ฟัง
หนังอีกหลายเรื่องที่ยังไม่ได้ดู
ความ รู้สึกในใจอีกมากมายที่ยังไม่เคยบอก พื้นที่อีกหลายล้านตารางกิโลเมตรที่ยังไม่เคยไป
โอ๊ย..... กลุ้ม
สองหมื่นกว่าวันที่เราได้รับมามัน น้อยเกินไปจริงๆ และที่น่ากลุ้มไปกว่านั้นคือ ใช่ว่าทุกคนจะอยู่ถึง 60 ปี แน่นอน 1 ปี ยังเท่ากับ 365 วัน
นั่นแสดงว่าบางคนไม่ได้มีเวลาบนพื้นโลก 21,900 วันหรอกนะ อาจไม่ถึง 3,120 สัปดาห์ซะด้วยซ้ำ!
คืนวันเสาร์ ที่จะได้ไปเที่ยวเหลือไม่ถึง สามพันวันแล้วเหรอเนี่ย! คิดแบบนี้ต้องรีบยกนาฬิกาขึ้นมาดู กางปฏิทินออกกว้าง ๆ เพราะมันคือเวลาที่เราเหลือ.... บนโลกนี้
นี่ชั้นกำลังทำบ้าบออะไร อยู่...ไม่เลยน้องสาว นี่ไม่ใช่ปรัชญางี่เง่าอะไรทั้งสิ้น หากเป็นความจริงที่เราไม่ค่อยได้มองมัน
เอาล่ะ งั้นสมมติว่าทุกคนอายุ 17 ปี แปลว่าใช้ชีวิตมาแล้ว 6,205 วัน และผ่านคืนวันเสาร์มาร้อยกว่าครั้ง
เอา เวลาที่ใช้ไปนั้น หักลบกับเวลา (ที่คาดว่าจะ) เหลืออยู่ ผลลัพธ์ที่ได้ เราจะทำยังไงกับมันดี.....
แต่น่าแปลก หลาย คนยังยอมทำงานน่าเบื่อนั่งเอาหัวตากแอร์ไปวัน ๆ ยอมให้คนที่ไม่ใช่พ่อใช่แม่จิกหัวใช้ เพื่ออะไรบางอย่างที่เราเรียกว่า 'เงินเดือน'
บางคนทนเรียนอะไรก็ไม่รู้ อยู่ 4 ปี ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าชอบหรือเปล่า รู้แต่ว่าแม่ชอบ ไม่ก็เห็นแค่ว่าเพื่อนเรียน เพียงแค่ตอบตัวเองไม่ได้ว่ากูจะเป็นอะไรดี
บางคนแอบรักเขา ซุ่มเลิฟอยู่อย่างนั้น ปล่อยให้ความรู้สึกที่ดีลอยไปหาคนอื่น
แต่กลับปล่อยให้ใจตัวเองเหลือ อยู่แต่ความรู้สึกต่ำต้อยได้ทุกวัน ทุกวัน ทุกวัน
บางคนกินทิฐิเป็น อาหาร เก๊กใส่กันไปวัน ๆ
ต่างฝ่ายต่างรอให้อีกฝ่ายง้อ มึงแน่ กูแน่ งอนการกุศล
ประชดทำลายสถิติ เชิดหยิ่งชิงชนะเลิศ....ไอ้บ้า
และอีกหลายคนนิยมกิจกรรม ' ฆ่าเวลา ' ชีวิตมันว่างจัด ขนาดต้องฆ่าเวลากันเลย บอกตรง ๆ เห็นแล้วอยากตบกบาล เอ็งกำลังทำลายทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดที่มนุษย์ทุกคนพึงจะมี อีกหน่อยเราก็ตายจากัน ...... แล้วนะ ลองคิดแบบนี้บ้าง
ใช่แล้ว .... เราจะเกิดความเสียดาย เพราะเหลืออีกหมื่นแสนล้านที่เรายังไม่ได้ทำ
ตาย ได้ไง หากฝันไม่สำเร็จ ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ยอมตาย
แต่ให้รีบทำ ทุกอย่าง ก่อนที่จะตาย ... ซึ่งจะเป็นวันไหนก็ไม่รู้
และในเมื่อเราไม่ รู้ว่าเมื่อไหร่ ...
มาเตรียมการรอรับวาระสุดท้ายของเราดีกว่า
เอา แบบตายวันตายพรุ่งก็จะได้นอนตายตาหลับ
ใช้ชีวิตโดยคิดซะว่า....พรุ่งนี้ ฉันจะตายแล้ว
ทำงานในสิ่งที่เรารัก เสมือนว่าเราจะไม่ได้ทำมันอีก
ตาม ความฝันของเราไปสุดโต่ง ...ต้องรีบแล้ว เดี๋ยวตายนะ...เตือนแล้วไง
รักให้ หมดใจ บอกเขาไปทั้งหมดที่ความรู้สึกมี
ส่วนจะรักหรือไม่รักกู ไม่สนว้อย ... เพราะพรุ่งนี้ชั้น(อาจจะ ) ตายแล้ว
ใช้เวลา ( ที่อาจจะ) สุดท้ายที่มีต่อกันไว้
กอดกันเหมือนว่านี่เป็นกอดครั้งสุดท้ายของเรา นุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะทำได้
เพราะอย่างน้อย ๆ เราจะได้มีสีหน้าที่ยิ้มแย้มตอนให้สัมภาษณ์ยมบาล
....... คนข้างบ้านเดินแป้นแล้นมาบอกข่าวดี ลูกสาววัย 23 กำลังจะแต่งงาน
ในมือ มีซองสีชมพูพร้อมการ์ด ลูกสาวอยู่ต่างจังหวัดกับคู่หมั้น แม่เลยต้องมาแจกการ์ดเอง
เมื่อกี๊ว่าที่เจ้าสาวเพิ่งโทรมาปรึกษาแม่ เรื่องชุดแต่งงาน.........
หลังจากนั้น 3 ชั่วโมง เธอตาย ......
แต่ กว่าคนเป็นแม่จะรู้ข่าวร้าย ก็ปาไป 5 วัน
ซองในมือผม กลายเป็นเงินช่วยงานศพ ช่อดอกไม้ กลายเป็นพวงหรีด
และทั้งหมดกลายเป็น แรงบันดาลใจ ที่อยากจะบอก ว่าอีกหน่อยเราก็ตายจากกัน .... แล้วนะ
อ้าว....รู้ งี้ยังจะมาอ้อยสร้อยอะไรกันอีก
รีบไปใช้เวลาที่เราเหลืออยู่ไปทำ ทุกอย่างที่เรายังไม่ได้ทำ
เดี๋ยวตายซะก่อน....เสียดายแย่
โดย น้าเน๊ก ...... เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาละกะวงศ์ ณ อยุธยา
ขอบคุณ น้าเน๊ก ...... เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาละกะวงศ์ ณ อยุธยา ด้วยนะคับ
คนเราอายุเฉลี่ย 60 ปี 1 ปี เท่ากับ 365 วัน แสดงว่าแต่ละคนมีเวลาบนพื้นโลก 21,900 วัน คิดปลีกย่อยไปกว่านั้นก็ 525,600 นาที ลองนับเป็นสัปดาห์ อืม......... ไม่เลว 3,120 สัปดาห์
อุแม่เจ้า......... แสดงว่า เรามีโอกาสเที่ยวในคืนวันเสาร์สามพันกว่าครั้งเท่านั้นเอง
คิด แบบนี้แล้วไม่กล้าดูนาฬิกา แทบเบือนหน้าหนีจากปฏิทิน เพราะมันไม่ต่างอะไรกับการนับถอยหลังเพื่อรอวันลาโลก....
เปล่าเลยผมไม่ ได้กลัวตาย และขอโทษที่หากเรื่องอาจไม่ค่อยขำ แต่ตลอดเวลาที่ใช้เวลาอยู่บนโลกนี้มันน้อยมากหากคำนวนในเชิงตัวเลข
ยังมีหนังสืออีกหลายเล่มที่ยังไม่ได้อ่าน
เพลงอีกหลายเพลงยังไม่ได้ฟัง
หนังอีกหลายเรื่องที่ยังไม่ได้ดู
ความ รู้สึกในใจอีกมากมายที่ยังไม่เคยบอก พื้นที่อีกหลายล้านตารางกิโลเมตรที่ยังไม่เคยไป
โอ๊ย..... กลุ้ม
สองหมื่นกว่าวันที่เราได้รับมามัน น้อยเกินไปจริงๆ และที่น่ากลุ้มไปกว่านั้นคือ ใช่ว่าทุกคนจะอยู่ถึง 60 ปี แน่นอน 1 ปี ยังเท่ากับ 365 วัน
นั่นแสดงว่าบางคนไม่ได้มีเวลาบนพื้นโลก 21,900 วันหรอกนะ อาจไม่ถึง 3,120 สัปดาห์ซะด้วยซ้ำ!
คืนวันเสาร์ ที่จะได้ไปเที่ยวเหลือไม่ถึง สามพันวันแล้วเหรอเนี่ย! คิดแบบนี้ต้องรีบยกนาฬิกาขึ้นมาดู กางปฏิทินออกกว้าง ๆ เพราะมันคือเวลาที่เราเหลือ.... บนโลกนี้
นี่ชั้นกำลังทำบ้าบออะไร อยู่...ไม่เลยน้องสาว นี่ไม่ใช่ปรัชญางี่เง่าอะไรทั้งสิ้น หากเป็นความจริงที่เราไม่ค่อยได้มองมัน
เอาล่ะ งั้นสมมติว่าทุกคนอายุ 17 ปี แปลว่าใช้ชีวิตมาแล้ว 6,205 วัน และผ่านคืนวันเสาร์มาร้อยกว่าครั้ง
เอา เวลาที่ใช้ไปนั้น หักลบกับเวลา (ที่คาดว่าจะ) เหลืออยู่ ผลลัพธ์ที่ได้ เราจะทำยังไงกับมันดี.....
แต่น่าแปลก หลาย คนยังยอมทำงานน่าเบื่อนั่งเอาหัวตากแอร์ไปวัน ๆ ยอมให้คนที่ไม่ใช่พ่อใช่แม่จิกหัวใช้ เพื่ออะไรบางอย่างที่เราเรียกว่า 'เงินเดือน'
บางคนทนเรียนอะไรก็ไม่รู้ อยู่ 4 ปี ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าชอบหรือเปล่า รู้แต่ว่าแม่ชอบ ไม่ก็เห็นแค่ว่าเพื่อนเรียน เพียงแค่ตอบตัวเองไม่ได้ว่ากูจะเป็นอะไรดี
บางคนแอบรักเขา ซุ่มเลิฟอยู่อย่างนั้น ปล่อยให้ความรู้สึกที่ดีลอยไปหาคนอื่น
แต่กลับปล่อยให้ใจตัวเองเหลือ อยู่แต่ความรู้สึกต่ำต้อยได้ทุกวัน ทุกวัน ทุกวัน
บางคนกินทิฐิเป็น อาหาร เก๊กใส่กันไปวัน ๆ
ต่างฝ่ายต่างรอให้อีกฝ่ายง้อ มึงแน่ กูแน่ งอนการกุศล
ประชดทำลายสถิติ เชิดหยิ่งชิงชนะเลิศ....ไอ้บ้า
และอีกหลายคนนิยมกิจกรรม ' ฆ่าเวลา ' ชีวิตมันว่างจัด ขนาดต้องฆ่าเวลากันเลย บอกตรง ๆ เห็นแล้วอยากตบกบาล เอ็งกำลังทำลายทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดที่มนุษย์ทุกคนพึงจะมี อีกหน่อยเราก็ตายจากัน ...... แล้วนะ ลองคิดแบบนี้บ้าง
ใช่แล้ว .... เราจะเกิดความเสียดาย เพราะเหลืออีกหมื่นแสนล้านที่เรายังไม่ได้ทำ
ตาย ได้ไง หากฝันไม่สำเร็จ ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ยอมตาย
แต่ให้รีบทำ ทุกอย่าง ก่อนที่จะตาย ... ซึ่งจะเป็นวันไหนก็ไม่รู้
และในเมื่อเราไม่ รู้ว่าเมื่อไหร่ ...
มาเตรียมการรอรับวาระสุดท้ายของเราดีกว่า
เอา แบบตายวันตายพรุ่งก็จะได้นอนตายตาหลับ
ใช้ชีวิตโดยคิดซะว่า....พรุ่งนี้ ฉันจะตายแล้ว
ทำงานในสิ่งที่เรารัก เสมือนว่าเราจะไม่ได้ทำมันอีก
ตาม ความฝันของเราไปสุดโต่ง ...ต้องรีบแล้ว เดี๋ยวตายนะ...เตือนแล้วไง
รักให้ หมดใจ บอกเขาไปทั้งหมดที่ความรู้สึกมี
ส่วนจะรักหรือไม่รักกู ไม่สนว้อย ... เพราะพรุ่งนี้ชั้น(อาจจะ ) ตายแล้ว
ใช้เวลา ( ที่อาจจะ) สุดท้ายที่มีต่อกันไว้
กอดกันเหมือนว่านี่เป็นกอดครั้งสุดท้ายของเรา นุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะทำได้
เพราะอย่างน้อย ๆ เราจะได้มีสีหน้าที่ยิ้มแย้มตอนให้สัมภาษณ์ยมบาล
....... คนข้างบ้านเดินแป้นแล้นมาบอกข่าวดี ลูกสาววัย 23 กำลังจะแต่งงาน
ในมือ มีซองสีชมพูพร้อมการ์ด ลูกสาวอยู่ต่างจังหวัดกับคู่หมั้น แม่เลยต้องมาแจกการ์ดเอง
เมื่อกี๊ว่าที่เจ้าสาวเพิ่งโทรมาปรึกษาแม่ เรื่องชุดแต่งงาน.........
หลังจากนั้น 3 ชั่วโมง เธอตาย ......
แต่ กว่าคนเป็นแม่จะรู้ข่าวร้าย ก็ปาไป 5 วัน
ซองในมือผม กลายเป็นเงินช่วยงานศพ ช่อดอกไม้ กลายเป็นพวงหรีด
และทั้งหมดกลายเป็น แรงบันดาลใจ ที่อยากจะบอก ว่าอีกหน่อยเราก็ตายจากกัน .... แล้วนะ
อ้าว....รู้ งี้ยังจะมาอ้อยสร้อยอะไรกันอีก
รีบไปใช้เวลาที่เราเหลืออยู่ไปทำ ทุกอย่างที่เรายังไม่ได้ทำ
เดี๋ยวตายซะก่อน....เสียดายแย่
โดย น้าเน๊ก ...... เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาละกะวงศ์ ณ อยุธยา
ชิบะอินุ เจ้าหมาพุ่มไม้
นั่งอ่านข่าวจากเว็บหนึ่งมากเรื่อยๆ ก็ได้มาเจอกับ ข่าวน่ารักๆ สบายอารมณ์ เจ้าหมาน้อย ชิบะอินุ อ่านชื่อก็น่าจะรู้ หมาญี่ปุ่นแน่นอน
ยังยิ้มได้อีกนะ ^_^
มนุษย์อยู่ไหน มาช่วยทีซิ
ไม่ใช่เตี้ยๆ ซะด้วยนะนี่ สงสัยอยากออกมาวิ่งเล่นมาก
ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลยนะที่จะได้ไปติดในพุ่มไม้ แต่เจ้าชิบะอินุ ก็เข้าไปติดจนได้ แถมทำหน้าสบายอารมณ์มากเลย ดูความน่ารักแล้วก็ทำให้เรายิ้มตามได้เลยนะครับ ต้องขอขอบคุณผู้ใช้ทวิตเตอร์ชื่อ @yamamochi223 ที่นำความน่ารักมาแบ่งปันกันนะ
มิตเตอรเค รายงาน
More info: @yamamochi223 (h/t: RocketNews24)
ที่มา : boredpanda
เค้กแต่งงานสองหน้า ผสานซุปเปอร์ฮีโร่และเค้กแบบคลาสิก
แน่นอนว่าสำหรับใครหลายๆ คนคงตื่นเต้นกับงานแต่งงานของตัวเอง และทุกอย่างต้องออกมาดีที่สุด
แต่วันนี้มีคู่แต่งงานน่ารักๆ คู่หนึ่งน่ารักมากเลยครับ สำหรับการความลงตัวของเค้กแต่งงาน 2 หน้า
โดยด้านหน้าเป็นเค้กสไตล์เดิม หรูหราตกแต่งด้วยลวดลายกุหลาบ ไข่มุก บนพื้นที่ขาว
แต่ทว่าด้านหลังเป็นซุปเปอร์ฮีโร่ ของชอบที่เจ้าบ่าวชื่นชม ทั้ง แบทแมน กัปตันอเมิรกา สไปเดอเเมน
เรียกได้ว่าเป็นความลงตัวและแปลกใหม่ของเค้กแต่งงานที่ไม่ได้เห็นกันบ่อยนักที่จะแบ่งกันคนละด้านและทำออกมาเป็นเค้กที่สวยงาม น่ารักได้ขนาดนี้ สำหรับคู่แต่งงานไหนอยากนำไปใช้ อย่าลืมมาชวนผมไปร่วมงานด้วยนะครับ
มิตเตอร์เค รายงาน
Image credits: J. Doran Photography
หลวงพ่อจรัญกับการใส่บาตรพระ
ใส่บาตรพระ
เคยมีคนถามหลวงพ่อเกี่ยวกับเรื่องการใส่บาตรพระมาเล่าให้หลวงพ่อฟังว่า
"ฉันไม่ใส่บาตรพระเพราะไม่เลื่อมใสพระองค์นั้น ไม่ทำบุญกับพระวัดนี้"
หลวงพ่อจึงให้ข้อคิดไปว่า คุณค่าของสงฆ์มี 3 ประการคือ ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรงคงวาคงศอก คือ พระสงฆ์ ท่านทั้งหลายไม่ต้องไปหาพระที่เป็นสุปฏิปันโนมาใส่บาตรหน้าบ้าน ไม่มีหรอก หายาก ลูกชาวบ้านมาบวช แต่เราไม่ได้ใส่บาตรพระลูกใคร ให้เราตั้งจิตไว้
ข้าพเจ้าขอทำบุญกับพระสุปฏิปันโน ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ แล้วก็ใส่บาตรไป
แต่พระองค์นั้นจะดีจะชั่วอย่าไปมอง พระองค์ไหนจะดีจะชั่วอยู่ที่ตัวท่าน เราคิดดี เราก็ได้บุญ เพราะกรรมเป็นตัวกระทำที่เราได้บุญ บางคนตักบาตรมาจนแก่ ตายไปนรก เพราะเจตนาไม่ดี ใส่บาตรด้วยความคิดที่ไม่ดี แล้วจะได้บุญได้อย่างไร
หลวงพ่อเคยสอนผู้เขียนไว้ว่า "คนที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ปฏิบัติกรรมฐานได้ผล เขาจะไม่มองพระในแง่ร้าย เขาจะทำบุญด้วยความสบายใจ ด้วยจิตเจตนาที่เป็นกุศล ส่วนพวกที่ชอบวิจารณ์พระว่า พระองค์นั้นไม่ดี องค์นี้ไม่น่าเลื่อมใส พวกนั้นแสดงว่ายังไม่ถึงธรรมะ ไม่ถึงพระรัตนตรัย ถ้าปฏิบัติได้จะไม่มองพระในแง่ร้าย เห็นเป็นพระสงฆ์นุ่งเหลืองห่มเหลืองมาก็ไหว้ ไหว้พระสงฆ์สาวกของพระผู้เป็นสุปฏิปันโน พวกนี้ทำบุญได้ผลแน่นอน"
คัดลอกจากหนังสือธรรมวิธีการแก้ปัญหา ของพระธรรมสิงหบุราจารย์ (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม)
เรียบเรียงโดย พระครูปลัดสิทธิวรวัฒน์
นายนรินทร์ จริโมภาส
นายนรินทร์ จริโมภาส
คุณกำลังทำร้ายหัวใจลูกรักอย่างรุนแรงอยู่หรือไม่?
UNICEF Thailand ปล่อยคลิปวิดีโอจำลอง เรื่อง คุณกำลังทำร้ายหัวใจลูกรักอย่างรุนแรงอยู่หรือไม่? เป็นคลิปวิดีโอจำลองเหตุการณ์เด็กดื้อกับแม่ในร้านอาหาร ตีแผ่ปัญหาความรุนแรงต่อเด็กที่เกิดจากความเชื่อดั้งเดิมในการเลี้ยงดูแบบ “รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี” พร้อมบทสัมภาษณ์แง่คิดดีๆ ในการเลี้ยงลูก โดย หนูดี วนิษา เรซ มาร่วมกันสร้างความเชื่อที่ถูกต้อง “เลี้ยงลูกอย่างเข้าใจ หยุดใช้ความรุนแรง” กับยูนิเซฟ www.endviolencethailand.org #ENDviolence
คุณหนูดี วนิษา เรซ ให้คำแนะนำที่ดี เหมาะสำหรับการนำไปปรับใช้งานมากนะครับ
สามารถรับชมคลิปได้ที่เพจ UNICEF Thailand หรือ คลิกที่นี่
อะไรคือ หินก้อนใหญ่ในชีวิตของคุณ
เรื่องมีอยู่ว่า...
ผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งได้มีโอกาสไปพูดให้กลุ่มนักเรียนบริหารธุรกิจฟัง
วิธีดีที่สุดก็คือการใช้ตัวอย่างซึ่งผมเชื่อว่าพวกนักเรียนจะไม่ลืมเลย
หลังจากที่คุณได้รับรู้คุณก็จะไม่ลืมเช่นกัน
ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญยืนต่อหน้านักเรียนกลุ่มใหญ่ เขาพลันพูดว่า
"เอาละได้เวลาเกี่ยวกับการทดสอบ (quiz)"
เขานำเอาภาชนะใสรูปร่างแบบอ่างที่แบบปิดฝาได้ขึ้นมาวางบนโต๊ะ
แล้วเขาก็เอาหินขนาดใหญ่ค่อย ๆ ใส่ลงไปในภาชนะทีละก้อน เมื่อหินเต็มภาชนะ
และไม่สามารถที่จะเติมหินได้อีกต่อไป
เขาก็ถามนักเรียนว่า "มันเต็มหรือยัง"
นักเรียนทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า "เต็มแล้วค่ะ/ครับ"
เขาก็ถามกลับว่า "จริงหรือครับ"
แล้วเขาก็นำเอาก้อนกรวดออกมา แล้วค่อย ๆ ใส่ลงไปในภาชนะ พร้อม ๆ
กับเขย่าภาชนะ ทำให้ก้อนกรวดเคลื่อนตัวตกลงไปในช่องว่างของหินก้อนโต
เขายิ้มพร้อมกับถามกลุ่มนักเรียนอีกครั้งหนึ่งว่า "เต็มหรือยังครับ"
นักเรียนทุกคนเงียบ แต่นักเรียนคนหนึ่งพูดว่า "สงสัยว่ายังไม่เต็มครับ"
เขาตอบว่า "ใช่ครับ" พร้อมกันนั้นเขาก็เขามือไปหยิบถุงทรายขึ้นมาจากใต้โต๊ะ
แล้วก็เททรายใส่ลงไปในภาชนะ เขาเขย่าให้ทรายวิ่งลงไปในช่องว่างระหว่าง
หินก้อนใหญ่และระหว่างก้อนกรวด
เขาถามนักเรียนอีกครั้งว่า "มันเต็มหรือยัง"
ครั้งนี้ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า "ยังไม่เต็มค่ะ/ครับ"
เขากล่าว "เยี่ยม ใช่ครับ มันยังไม่เต็ม"
แล้วเขาก็หยิบเขาโถน้ำขึ้นมาแล้วก็เทใส่ลงไปในภาชนะจนมันเต็มจนเอ่อ
เขามองไปที่นักเรียนทุกคนและถามว่าเขาแสดงอะไรให้พวกนักเรียนดู
นักเรียนหนึ่งยกมือขึ้นพร้อมกับพูดว่า
"ถึงแม้ว่าตารางการทำงานของคุณจะเต็มแน่นแค่ไหน ถ้าคุณพยายามอย่างหนัก
คุณจะสามารถทำงานบางอย่างได้มากขึ้น"
ผู้เชี่ยวชาญส่ายหน้าพร้อมกับสอนว่า "นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมกำลังสอน
ที่ผมสอนพวกเราก็คือ ถ้าคุณไม่ใส่หินก้อนใหญ่ลงไปก่อน
คุณจะไม่มีวันใส่มันลงไปได้เอาซะเลย"
"คุณจะเปรียบเทียบหินก้อนใหญ่ได้กับอะไรในชีวิตของคุณ"
- เวลาสำหรับครอบครัวและคนที่คุณรัก
- ความซื่อสัตย์ จริงใจ การศึกษา หรือ เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ
- เงื่อนไขต่าง ๆ และการตัดสินใจ
- สอนหรือแนะนำผู้อื่น
- งานที่คุณอยากทำให้สำเร็จลุล่วง
มันอาจจะเป็นอะไรก็ได้ แต่ต้องจำไว้ว่า ทำหินก้อนใหญ่ ๆ ก่อน
ไม่อย่างนั้นคุณก็จะไม่ได้ทำมันเอาซะเลย
ตอนนี้คุณอาจหาเวลาว่าง ๆ
ลองคิดดูซิครับว่าอะไรคือ"หินก้อนใหญ่ในชีวิตของคุณ" ?
ขอบคุณเรื่องราวจากการส่งต่อ
ผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งได้มีโอกาสไปพูดให้กลุ่มนักเรียนบริหารธุรกิจฟัง
วิธีดีที่สุดก็คือการใช้ตัวอย่างซึ่งผมเชื่อว่าพวกนักเรียนจะไม่ลืมเลย
หลังจากที่คุณได้รับรู้คุณก็จะไม่ลืมเช่นกัน
ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญยืนต่อหน้านักเรียนกลุ่มใหญ่ เขาพลันพูดว่า
"เอาละได้เวลาเกี่ยวกับการทดสอบ (quiz)"
เขานำเอาภาชนะใสรูปร่างแบบอ่างที่แบบปิดฝาได้ขึ้นมาวางบนโต๊ะ
แล้วเขาก็เอาหินขนาดใหญ่ค่อย ๆ ใส่ลงไปในภาชนะทีละก้อน เมื่อหินเต็มภาชนะ
และไม่สามารถที่จะเติมหินได้อีกต่อไป
เขาก็ถามนักเรียนว่า "มันเต็มหรือยัง"
นักเรียนทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า "เต็มแล้วค่ะ/ครับ"
เขาก็ถามกลับว่า "จริงหรือครับ"
แล้วเขาก็นำเอาก้อนกรวดออกมา แล้วค่อย ๆ ใส่ลงไปในภาชนะ พร้อม ๆ
กับเขย่าภาชนะ ทำให้ก้อนกรวดเคลื่อนตัวตกลงไปในช่องว่างของหินก้อนโต
เขายิ้มพร้อมกับถามกลุ่มนักเรียนอีกครั้งหนึ่งว่า "เต็มหรือยังครับ"
นักเรียนทุกคนเงียบ แต่นักเรียนคนหนึ่งพูดว่า "สงสัยว่ายังไม่เต็มครับ"
เขาตอบว่า "ใช่ครับ" พร้อมกันนั้นเขาก็เขามือไปหยิบถุงทรายขึ้นมาจากใต้โต๊ะ
แล้วก็เททรายใส่ลงไปในภาชนะ เขาเขย่าให้ทรายวิ่งลงไปในช่องว่างระหว่าง
หินก้อนใหญ่และระหว่างก้อนกรวด
เขาถามนักเรียนอีกครั้งว่า "มันเต็มหรือยัง"
ครั้งนี้ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า "ยังไม่เต็มค่ะ/ครับ"
เขากล่าว "เยี่ยม ใช่ครับ มันยังไม่เต็ม"
แล้วเขาก็หยิบเขาโถน้ำขึ้นมาแล้วก็เทใส่ลงไปในภาชนะจนมันเต็มจนเอ่อ
เขามองไปที่นักเรียนทุกคนและถามว่าเขาแสดงอะไรให้พวกนักเรียนดู
นักเรียนหนึ่งยกมือขึ้นพร้อมกับพูดว่า
"ถึงแม้ว่าตารางการทำงานของคุณจะเต็มแน่นแค่ไหน ถ้าคุณพยายามอย่างหนัก
คุณจะสามารถทำงานบางอย่างได้มากขึ้น"
ผู้เชี่ยวชาญส่ายหน้าพร้อมกับสอนว่า "นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมกำลังสอน
ที่ผมสอนพวกเราก็คือ ถ้าคุณไม่ใส่หินก้อนใหญ่ลงไปก่อน
คุณจะไม่มีวันใส่มันลงไปได้เอาซะเลย"
"คุณจะเปรียบเทียบหินก้อนใหญ่ได้กับอะไรในชีวิตของคุณ"
- เวลาสำหรับครอบครัวและคนที่คุณรัก
- ความซื่อสัตย์ จริงใจ การศึกษา หรือ เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ
- เงื่อนไขต่าง ๆ และการตัดสินใจ
- สอนหรือแนะนำผู้อื่น
- งานที่คุณอยากทำให้สำเร็จลุล่วง
มันอาจจะเป็นอะไรก็ได้ แต่ต้องจำไว้ว่า ทำหินก้อนใหญ่ ๆ ก่อน
ไม่อย่างนั้นคุณก็จะไม่ได้ทำมันเอาซะเลย
ตอนนี้คุณอาจหาเวลาว่าง ๆ
ลองคิดดูซิครับว่าอะไรคือ"หินก้อนใหญ่ในชีวิตของคุณ" ?
ขอบคุณเรื่องราวจากการส่งต่อ
อนันต์ อัศวโภคิน
ขอบคุณภาพจากอินเทอร์เน็ต
คุณอนันต์ อัศวโภคิน เป็นนักธุรกิจที่เคยล้มทั้งยืนมาในยุคหนึ่ง แต่เมื่อเวลาผ่านไป คุณอนันต์ในวันนี้ เป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ มีมูลค่าของทรัพย์สินมหาศาล ทุกเวลาที่ได้มีการเชิญคุณอนันต์ไปบรรยาย สิ่งที่ท่านมักพูดเสมอ คือ บุญ เป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จในชีวิตท่าน ท่านได้รับอิทธิพลมากมายจาก คนดี ๆ รอบข้างท่าน ที่ทำให้ท่านได้รู้จักคำว่า บุญ ในยามที่ท่านล้ม ท่านก็ได้ พักพิงในศาสนา ให้มีกำลังใจกลับมาสู้ต่อจนได้ ความสำเร็จของท่าน ท่านมักกล่าวอ้างเสมอว่า นอกจากตัวท่านแล้ว ที่ทำอย่างเต็มที่ บุญก็เป็นส่วนผลักดันอยู่เบื้องหลังความสำเร็จนั้น ๆ ด้วย
ได้มีโอกาสฟังบรรยายหลาย ๆ เวที เรื่อง 5 ห้องชีวิตก็เป็นแนวคิดที่ดีวิธีหนึ่ง ซึ่งมารู้ภายหลังว่า มีการเผยแพร่อย่างกว้างขวางแต่ในนามขององค์กรทางศาสนา โดยหลักการแล้วดีมากครับ แต่หลายคนมองว่า ไม่เหมาะ หรือไม่ดี อาจเพราะภาพลักษณ์ องค์กร ที่เป็นส่วนผลักดันเรื่องดี แต่โดยส่วนตัว อยากให้ได้ลองศึกษา ได้ลองนำไปใช้และปฏิบัติดู และจะรู้ว่าสิ่งใกล้ ๆ ตัวเรานี่แหละ คือเครื่องฝึกฝน ตัวเราได้อย่างดีที่สุด
มิตเตอร์เค
"ซิวซี แซ่ตั้ง" จากเด็กเลี้ยงควายสู่มหาเศรษฐีหมื่นล้าน
“เมื่อดื่มน้ำจากบ่อ อย่าลืมคนที่ขุดบ่อ”
เป็นประโยคที่ซิวซีพร่ำสอนล
"ซิวซี แซ่ตั้ง" จากเด็กเลี้ยงควายสู่มหาเศร
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)